โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มักลุกลามอย่างเงียบๆ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีและถูกต้อง โรคดังกล่าวอาจกลับมาเป็นซ้ำได้ง่ายและส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างร้ายแรง เข้าร่วม MEDLATEC เพื่ออัปเดตความรู้เกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทั่วไป 10 โรคและมาตรการป้องกันที่มีประสิทธิผลผ่านบทความด้านล่าง!
- หนองใน
โรคนี้เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อ ทางวิทยาศาสตร์ ว่า Neisseria gonorrhoeae
หนองในเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง
ในระยะเริ่มแรกโรคนี้ตรวจพบได้ยากเนื่องจากแทบไม่มีอาการเฉพาะเจาะจง เมื่อโรคลุกลามขึ้น ผู้ชายอาจมีอาการเช่น ปัสสาวะแสบขัด มีหนองไหลออกจากองคชาต อัณฑะบวมและเจ็บ... ผู้หญิงอาจมีอาการตกขาวผิดปกติมากขึ้น ปัสสาวะแสบขัด มีหนองในปัสสาวะ ปวดท้องน้อย... ซึ่งอาจสับสนกับการติดเชื้อทางนรีเวชและทางเดินปัสสาวะทั่วไปได้
- แฟลเจลเลต
เชื้อก่อโรคที่พบบ่อยคือแบคทีเรีย Trichomonas vaginalis
เมื่อเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย ผู้หญิงจะมีอาการตกขาวมากขึ้น มีฟองอากาศปะปน มีสีเขียว/เทา/เหลืองเขียว มีกลิ่นผิดปกติ คันช่องคลอด ส่วนผู้ชายจะมีอาการคันหรือระคายเคืองภายในองคชาต แสบร้อนหลังปัสสาวะหรือหลั่งน้ำอสุจิ มีตกขาวจากองคชาต...
การติดเชื้อทริโคโมนาสในระยะเริ่มแรกส่วนใหญ่จะไม่มีอาการเลยหรือมีอาการเพียงเล็กน้อย ทำให้โรคดำเนินไปเป็นเวลานาน ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ช่องคลอดอักเสบ ปากมดลูกอักเสบ หรือมดลูกอักเสบ มีความเสี่ยงต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ เพิ่มขึ้น และคลอดก่อนกำหนดในหญิงตั้งครรภ์...
- การติดเชื้อราในช่องคลอด
เชื้อราแคนดิดาอัลบิกันส์ เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของโรค เมื่อติดเชื้อราในช่องคลอด ผู้ป่วยจะมีอาการคันช่องคลอด ตกขาวผิดปกติ มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ และมีก้อนสีขาว
โรคนี้เป็นโรคทางนรีเวชที่พบบ่อย รักษาได้ง่าย แต่หากไม่ทำความสะอาดช่องคลอดอย่างถูกต้อง โรคก็อาจกลับมาเป็นซ้ำได้ หากโรคนี้ยังคงอยู่ อาจก่อให้เกิดโรคร้ายแรง เช่น ภูมิคุ้มกันบกพร่อง ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด และอาจส่งผลต่อสุขภาพสืบพันธุ์ได้
- โรคเริมที่อวัยวะเพศ
โรคนี้เกิดจากไวรัสเริม (HSV) อาการทั่วไป ได้แก่ ผื่นพุพอง ตุ่มพุพองที่อวัยวะเพศ อาการบวม ปวด และต่อมน้ำเหลืองบวม
ปัจจุบันการใช้ยาสามารถช่วยบรรเทาอาการและลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้เท่านั้น อาการเฉียบพลันสามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่มีความเสี่ยงสูงที่จะกลับมาเป็นซ้ำ
- หูดบริเวณอวัยวะเพศ
หูดบริเวณอวัยวะเพศเกิดจาก ไวรัส Human Papillomavirus (HPV) ชนิด 6 และ 11 โรคนี้เกิดขึ้นได้ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง แต่พบได้บ่อยในผู้หญิงมากกว่า เนื่องจากสภาพแวดล้อมในช่องคลอดเอื้อต่อการเจริญเติบโตของไวรัส
หูดบริเวณอวัยวะเพศ หรือที่เรียกกันว่า โรคหงอนไก่, หูดบริเวณอวัยวะเพศ, หูดบริเวณอวัยวะเพศ
เมื่อเข้าสู่ร่างกาย ไวรัสจะซ่อนตัวอยู่ในชั้นเยื่อบุผิวของชั้นล่างสุดของผิวหนังและมักไม่มีอาการ ไวรัส HPV มีระยะฟักตัวหลายเดือนถึงหลายปีและทำให้เกิดอาการ เช่น ตุ่มเล็ก ๆ หรือตุ่มสีชมพูหรือสีชมพูอมขาว ตุ่มแรกมีขนาด 1-2 มม. และค่อยๆ โตขึ้นจนกลายเป็นก้อนเนื้อขนาดใหญ่คล้ายหงอนไก่ มักไม่เจ็บปวด
ภาวะแทรกซ้อนของหูดบริเวณอวัยวะเพศมีความซับซ้อนมาก ในสตรีมีครรภ์ โรคนี้อาจทำให้เกิดการแท้งบุตร คลอดตาย หรือคลอดก่อนกำหนด นอกจากนี้ ทารกในครรภ์ยังมีความเสี่ยงที่จะติดโรคนี้หลังคลอดหรือติดเชื้อขณะให้นมบุตรอีกด้วย
- หนองใน
โรคนี้เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Chlamydia trachomatis โรคนี้ดำเนินไปอย่างเงียบๆ และตรวจพบได้ยาก ผู้หญิงสามารถตรวจพบโรคได้จากอาการต่างๆ เช่น ตกขาวผิดปกติ ปัสสาวะบ่อย ปวดท้อง ปวดหลัง คลื่นไส้ เจ็บ/มีเลือดออกขณะมีเพศสัมพันธ์... ผู้ชายมักมีอาการ เช่น ปัสสาวะแสบขัด ตกขาวจากองคชาต...
โรคหนองในหากไม่ได้รับการรักษาในระยะเริ่มแรก อาจทำให้ผู้หญิงมีบุตรยากและมีภาวะแทรกซ้อนอันตรายอื่นๆ อีกมากมาย
- ยูเรียพลาสมา การติดเชื้อไมโคพลาสมา
ผู้ป่วยที่ติดเชื้อแบคทีเรีย ยูเรียพลาสมาและไมโคพลาสมา มักมีอาการแทรกซ้อนอย่างเงียบๆ โดยไม่มีอาการ ในบางกรณี อาจมีตกขาวในเพศชายหรือเพศหญิง ปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะเจ็บ...
หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจทำให้เกิดภาวะช่องคลอดอักเสบ ปากมดลูกอักเสบ เสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้น และก่อให้เกิดปัญหาทางการสืบพันธุ์อื่นๆ อีกมากมาย
- ซิฟิลิส
แบคทีเรียซิฟิลิสมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Treponema pallidum
ซิฟิลิสคือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่สามารถก่อให้เกิดอาการแทรกซ้อนอันตรายได้มากมาย
โดยปกติผู้ป่วยโรคนี้ประมาณ 50% จะไม่แสดงอาการ ส่วนที่เหลือหลังจากสัมผัสเชื้อโรค 10-90 วัน จะมีแผลเป็นตามร่างกายแบบไม่เจ็บปวด ซึ่งสามารถหายได้เองโดยไม่ต้องรักษาภายใน 3-6 สัปดาห์ ผู้ป่วยจึงสามารถละเลยได้ แต่หากอาการรุนแรงขึ้น โรคจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอันตรายได้หลายอย่าง ทำลายอวัยวะในร่างกาย เช่น ข้อต่อ ผิวหนัง ไต สมอง ตา ฯลฯ และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
- เอชไอวี
เอชไอวีเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่อันตรายที่สุดในปัจจุบัน ในระยะเริ่มแรก โรคนี้จะไม่แสดงอาการใดๆ ตามปกติ ดังนั้นผู้ป่วยมักไม่ทราบว่าตนเองติดเชื้อหากไม่ได้ตรวจหาเชื้ออย่างจริงจัง
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรค HIV แต่สามารถรักษาได้ด้วยยาต้านไวรัส (ARV) เพื่อหยุดยั้งการขยายตัวของไวรัสและลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น
- โรคตับอักเสบ บี
นอกจากเส้นทางการแพร่เชื้อหลักทั้งทางเลือดและจากแม่สู่ลูกแล้ว โรคตับอักเสบบียังสามารถแพร่เชื้อทางเพศสัมพันธ์ได้อีกด้วย
หากคุณมีอาการผิดปกติ เช่น ตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะสีเข้ม มีไข้ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ เบื่ออาหาร ฯลฯ คุณควรไปพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อรับการรักษาที่ทันท่วงทีเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง เช่น โรคตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง มะเร็งตับ เป็นต้น
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคนี้ได้อย่างสมบูรณ์ มีเพียงยาที่ควบคุมการทำงานของไวรัสเท่านั้น ผู้ป่วยควรได้รับการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ 6 วิธีในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์:
1/ ใช้การป้องกัน (ถุงยางอนามัย) เมื่อมีเพศสัมพันธ์;
2/ ความสัมพันธ์ทางเพศแบบคู่สมรสคนเดียวกับฝ่ายหนึ่ง;
3/ รักษาบริเวณส่วนตัวให้สะอาด;
4/ ตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ของตนเองและคู่ของตนอย่างสม่ำเสมอ
5/ รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น HPV, โรคตับอักเสบ B...
6/ ควรไปพบแพทย์ทันทีหากพบว่ามีอาการผิดปกติ เช่น ตกขาว เจ็บบริเวณอวัยวะเพศ คัน มีหูด มีแผล ปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะบ่อย...
ระบบ ดูแลสุขภาพ MEDLATEC: การคัดกรอง การวินิจฉัยที่แม่นยำ - การรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพ
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ 1 คนเป็น 2 คน - รีบตรวจคัดกรองตั้งแต่วันนี้ เพื่อไม่ให้คุณภาพชีวิตลดลง! หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมหรือกำหนดเวลานัดหมาย โปรดติดต่อสายด่วน 1900 56 56 56 |
ที่มา: https://medlatec.vn/tin-tuc/10-benh-lay-truyen-qua-duong-tinh-duc-ban-nen-biet-va-cach-phong-tranh-cho-cuoc-vui-an-toan-thang-hoa
การแสดงความคิดเห็น (0)